
ภายใต้มหาสมุทรอันกว้างใหญ่บนโลกสีครามนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์นับไม่ถ้วน ท้องทะเลจึงเปรียบเสมือนอาณาจักรแห่งความลึกลับที่ซุกซ่อนปริศนาของโลกไว้ แม้มนุษย์จะพยายามสำรวจใต้ท้องทะเลมาตั้งแต่อดีต แต่ความจริงแล้วเราอาจรู้จักกับสิ่งมีชีวิตในทะเลเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น
หลายคนอาจคุ้นเคยกับสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น ปลา ปู กุ้ง หอย ที่มักถูกแปรรูปไปอยู่บนจานอาหาร แต่อีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่นิยมจับมากินเช่นเดียวกันคือ ‘แมงกะพรุน’ สัตว์ทะเลสีใสที่ล่องลอยตามทะเลอย่างเชื่องช้าและงดงาม แม้พวกมันจะมีพิษเพื่อป้องกันตัว แต่การหาวิธีกำจัดพิษเพื่อนำมากินก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าภูมิปัญญาของมนุษย์ เช่น การดองแมงกะพรุนด้วยเกลือและสารส้ม
แต่เดิมวัฒนธรรมการกินแมงกะพรุนมีการคาดการณ์ว่าเริ่มต้นมาจากประเทศจีน เนื่องจากจางฮว่า (Zhang Hua) นักปรัชญาชาวจีนเคยเขียนวรรณกรรมเก่าแก่ชื่อ ‘ป๋ออู๋จื้อ’ (博物志) สมัยราชวงศ์จิ้นระบุถึงการกินแมงกะพรุนไว้ จากนั้นวัฒนธรรมการกินแมงกะพรุนนี้ก็เผยแพร่ไปยังหลายประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย และไทย
โดยทั่วไปแมงกะพรุนมักถูกนำไปทำยำหรือคลุกซอส เช่น น้ำมันงา โชยุ ซีอิ๋ว น้ำปลาหรือพริกเพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและสัมผัสกับเนื้อแมงกะพรุนที่กรุบกรับ อีกทั้งยังมีโปรตีนสูงและแคลอรี่ต่ำ
ในไทยเราอาจคุ้นเคยกับแมงกะพรุนที่ใส่ในก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟหรือยำต่างๆ จนเป็นเมนูธรรมดาไปแล้ว แต่ไม่นานนี้เองก็มีเทรนด์ฮิตกินแมงกะพรุนหัวกระสุนในโลกออนไลน์จากรีวิวอาหารของอินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ ซึ่งด้วยลักษณะตัวของแมงกะพรุนหัวกระสุน (Cannonball Jellyfish) ที่กลมและเนื้อแน่นทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่กรุบและกินได้เต็มปากเต็มคำแตกต่างจากแมงกะพรุนที่ถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ
ปัจจุบันการนำแมงกะพรุนมากินเป็นอาหารถือว่าไม่ผิดกฎหมายและมีแมงกะพรุนบางสายพันธุ์เท่านั้นที่คนสามารถนำมากินได้อย่างปลอดภัย เช่น แมงกะพรุนหัวกระสุน แมงกะพรุนลอดช่อง และแมงกะพรุนช่อดอกกะหล่ำ
แม้บางคนอาจยังรู้สึกว่าแมงกะพรุนไม่ใช่ของที่ควรนำมากินมากนัก เนื่องจากมีพิษหากไม่ทำอย่างถูกวิธีและอาจกระทบต่อระบบนิเวศ แต่การนำแมงกะพรุนมากินนั้นก็มีข้อดีต่อระบบนิเวศในทางหนึ่งเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันสัตว์ทะเลอื่นๆ เช่น ปลาทู ปูม้า กุ้ง พะยูนหรือเต่าทะเลจะมีจำนวนลดลงมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษจากขยะทางทะเลและสารพิษต่างๆ จากมนุษย์ แต่ในทางกลับกันสภาวะเช่นนั้นทำให้แมงกะพรุนมีจำนวนมากขึ้นแทน เพราะระบบนิเวศที่ปลาลดลง ทำให้มีแพลงก์ตอนในทะเลอยู่มาก ส่งผลให้แมงกะพรุนมีอาหารที่อุดมสมบูรณ์และไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นมาแย่งอาหาร
อีกทั้งผู้ล่าแมงกะพรุนอย่างเต่าทะเลบางชนิดก็มีจำนวนลดลง ทำให้แมงกะพรุนมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังทนทานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมได้มากกว่าสัตว์น้ำชนิดอื่น
การจับแมงกะพรุนมากินจึงช่วยลดปริมาณแมงกะพรุนที่มากจนเกินไปได้และยังช่วยให้ชาวประมงมีรายได้มากขึ้นจากภาวะที่สัตว์น้ำทางเศรษฐกิจอื่นๆ มีจำนวนลดลงด้วย แต่ในขณะเดียวกันแมงกะพรุนอันมหาศาลนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่าในท้องทะเลกำลังเต็มไปด้วยมลพิษจากมนุษย์
แม้แมงกะพรุนถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่คาดว่าเกิดขึ้นมานับตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ แต่จนถึงปัจจุบันแมงกะพรุนก็ยังเป็นหนึ่งในปริศนาใต้ท้องทะเลที่มนุษย์ยังไขไม่ออกทั้งหมด และมีการคาดการณ์ว่ายังมีแมงกะพรุนอีกหลายร้อยชนิดอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกยังไม่ถูกค้นพบ
นับตั้งแต่มนุษย์รู้จักกับแมงกะพรุน พวกมันก็มีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ด้วยเช่นกัน ซึ่งมุมมองของผู้คนต่อแมงกะพรุนก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยจากสัตว์มีพิษอันตรายสู่สัญลักษณ์ความงามของท้องทะเล ทำให้แมงกะพรุนถูกเล่าเรื่องราวปรากฏบนบันทึกประวัติศาสตร์มากมาย ทั้งบันทึกโบราณ ตำนานเรื่องเล่า หนังสือ และภาพยนตร์ต่างๆ
นอกจากแมงกะพรุนที่เรารู้จักในฐานะอาหารหรือสัตว์ทะเลอันสวยงามในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแล้ว ‘แมงกะพรุน’ สำคัญกับโลกนี้อย่างไรกันแน่
แมงกะพรุนไม่ใช่ปลา
แม้ตามชื่อภาษาอังกฤษของแมงกะพรุนจะใช้คำว่า Jellyfish ซึ่งหมายถึงลักษณะแมงกะพรุนที่โปร่งใสและนุ่มนิ่มเหมือนเยลลี่ แต่ในทางชีววิทยาแมงกะพรุนไม่ใช่ปลา แต่ในอดีตคำว่า Fish มักใช้เรียกสิ่งมีชีวิตในน้ำแบบกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นคำที่ระบุเฉพาะถึงปลาในปัจจุบัน
แมงกะพรุนถือเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและไม่มีสมองหรือระบบประสาทส่วนกลาง เช่นเดียวกับหมึกหรือปู แต่แมงกะพรุนจะมีโครงข่ายประสาท (Nerve Net) ทำหน้าที่แทนสมองกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ทำหน้าที่รับรู้สิ่งเร้าต่างๆ เช่น แสง สัมผัส สารเคมี และใช้ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งการตอบสนองของพวกมันจะทำได้เพียงการหลบสิ่งกีดขวางต่างๆ รับรู้ความสว่างและความมืด ใช้ลำตัวที่รูปร่างเหมือนร่มในการหดและคลายตัวเพื่อเคลื่อนที่หรือการใช้แขนนำอาหารเข้าปาก
วงจรชีวิตของแมงกะพรุนถือว่าซับซ้อนและมีการสืบพันธุ์ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศสลับกันไป ด้วยการผสมสเปิร์มและไข่ หรือการแตกหน่อ ในแต่ละสายพันธุ์ก็ยังมีอายุขัยไม่เท่ากัน เช่น แมงกะพรุนพระจันทร์ (Moon Jellyfish) มีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 ปี ส่วนแมงกะพรุนขนสิงโต (Lion's Mane Jellyfish) อาจมีชีวิตอยู่ได้หลายปีมากกว่านั้น
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่ามีแมงกะพรุนอมตะ (Turritopsis dohrnii) ที่สามารถย้อนวัยกลับไปเป็นช่วงก่อนโตเต็มวัย (polyp) ได้ เมื่อแก่ตัวหรือได้รับบาดเจ็บ ทำให้พวกมันเป็นอมตะทางชีวภาพ หากไม่ถูกล่าหรือตายไปเสียก่อน
โดยทั่วไปแมงกะพรุนสามารถอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ทั้งในทะเลชั้นบน เขตชายฝั่ง หรือทะเลน้ำลึก ทำให้มีแมงกะพรุนบางชนิดสามารถเรืองแสงได้
เรื่องราวของ ‘แมงกะพรุน’ ก่อนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความงาม
แมงกะพรุนถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์รู้จักมาอย่างเนิ่นนานนับตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ แม้ในอดีตมนุษย์อาจยังไม่มีชื่อเรียกสิ่งมีชีวิตตัวใสนี้ แต่ในบันทึกเก่าแก่ก็มีคำบอกเล่าถึงสัตว์ทะเลมีพิษที่คล้ายกับแมงกะพรุน เช่น
อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกโบราณถือเป็นหนึ่งในบุคคลแรกๆ ที่บันทึกเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในทะเลอย่างละเอียด อริสโตเติลเคยกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘Cnidae’ (ไนเดีย) ที่แปลว่าต่อยหรือทำร้ายในภาษาละติน เป็นคำเรียกกลุ่มสัตว์ทะเลที่มีเข็มพิษรวมถึงสิ่งมีชีวิตที่คล้ายแมงกะพรุนและดอกไม้ทะเล
นอกจากนี้ในตำราแพทย์โบราณของหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย กรีก-โรมันโบราณ รวมถึงชนพื้นเมืองในออสเตรเลียมีการรับมือกับพิษของสัตว์ทะเลประเภทแมงกะพรุนไว้ด้วย
นอกจากนี้ แมงกะพรุนยังปรากฏตัวอยู่ในตำนานหรือนิทานพื้นบ้านต่างๆ ในหลายวัฒนธรรม เช่น นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่เล่าเรื่องว่าทำไมแมงกะพรุนถึงไม่มีกระดูกว่า
“กาลครั้งหนึ่งแมงกะพรุนเคยมีกระดูกและเดินบนบกได้เหมือนเต่า แมงกะพรุนเป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของราชามังกรใต้ทะเล วันหนึ่งราชินีมังกรต้องการตับลิงมาเป็นยา ราชาจึงส่งแมงกะพรุนไปหลอกลิงมาจากเกาะ แต่ลิงฉลาดกว่าและหลอกให้แมงกะพรุนพาตัวเองกลับไปที่เกาะเพื่อเอาตับที่ลืมไว้ เมื่อแมงกะพรุนกลับมามือเปล่า ราชาแห่งมังกรก็โกรธมาก สั่งให้ลงโทษแมงกะพรุนโดยการทุบตีจนกระดูกหักหมดและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตไร้กระดูกอย่างที่เห็นทุกวันนี้”
นิทานเรื่องนี้พยายามสอดแทรกข้อคิดเกี่ยวกับผลของการกระทำที่เกิดจากความโง่เขลาและถูกหลอกลวง ซึ่งคาดว่าเป็นเรื่องเล่าที่เก่าแก่มาหลายร้อยปีโดยการเล่าปากต่อปากและไม่ได้มีบันทึกไว้อย่างชัดเจนนัก
จนกระทั่งต่อมาในยุคการสำรวจทะเลรุ่งเรืองขึ้น นักเดินเรือและนักธรรมชาติวิทยาเริ่มบันทึกสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่พบเจอมากขึ้น ทำให้มีภาพวาดและคำบรรยายเกี่ยวกับแมงกะพรุนเพื่อบันทึกในเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น ทำให้ผู้คนหันมาศึกษาเกี่ยวกับแมงกะพรุนอย่างละเอียดมากขึ้น
ต่อมาจึงมีการตั้งชื่อและจำแนกสัตว์ต่างๆ ซึ่งแมงกะพรุนตัวโตเต็มวัยถูกตั้งชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า เมดูซ่า (Medusa) ซึ่งเป็นชื่อตัวละครจากในตำนานเทพปกรณัมกรีกที่เป็นหญิงมีผมเป็นงูพิษและหากจ้องตาเธอจะกลายเป็นหิน ชื่อนี้ถูกนำมาใช้นับตั้งแต่ปี 1752 ตั้งโดย คาร์ล ลินเนียส (Carl Linnaeus) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและผู้ริเริ่มการจัดแยกสิ่งมีชีวิตเป็นหมวดหมู่ เนื่องจากลักษณะของหนวดของแมงกะพรุนที่ห้อยระโยงระยางคล้ายผมงู มีพิษคล้ายกับพิษของงูของเมดูซ่า และยังมีภาพลักษณ์ความงามที่น่าสะพรึงกลัว
ในช่วงยุคศตวรรษที่ 18-19 นี้เองที่แมงกะพรุนถูกมองว่ามีความงาม โดยมีนักธรรมชาติวิทยาและศิลปินจำนวนหนึ่ง เริ่มเห็นองค์ประกอบศิลป์ของแมงกะพรุนที่ทั้งมีความโปร่งใส มีลักษณะรูปทรงเรขาคณิตที่สมมาตร และการเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหว ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานศิลปะมากขึ้น แม้จะยังไม่แพร่หลายนักก็ตาม
เช่น เอิร์นส์ท เฮคเคิล (Ernst Haeckel) นักชีววิทยา และศิลปินชาวเยอรมัน สร้างภาพประกอบหนังสือชื่อ ‘Art Forms in Nature’ (Kunstformen der Natur) ที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 1899-1904 เขาวาดภาพสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดโดยเน้นความซับซ้อน ความสมมาตร และความงามทางเรขาคณิตของพวกมัน โดยสิ่งที่โดดเด่นในผลงานชิ้นนั้นคือภาพวาดแมงกะพรุนที่วาดออกมาได้อย่างประณีตและงดงาม
ภาพวาดของเฮคเคิลครั้งนี้ถือว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อทั้งวงการวิทยาศาสตร์และศิลปะ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับขบวนการศิลปะแบบ อาร์ตนูโว (Art Nouveau) ที่ใช้รูปแบบของธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ เถาวัลย์ หรือใบไม้มาทำลวดลายที่อ่อนช้อยงดงาม
จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่เริ่มมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและการพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถถ่ายภาพใต้น้ำได้ ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงความงามของแมงกะพรุนมากขึ้น และในศตวรรษที่ 21 แมงกะพรุนเข้ามามีบทบาทในวงการศิลปะและแฟชั่นมากขึ้น เช่น ดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง ไอริส ฟาน แฮร์เพน (Iris van Herpen) ที่นำรูปทรง ความโปร่งใส และการเคลื่อนไหวของแมงกะพรุนมาใช้ในการออกแบบและชุดของเธอเคยถูกสวมใส่โดยศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง เลดี้กาก้า (Lady Gaga) และบียอนเซ่ (Beyoncé)
นอกจากนี้ แมงกะพรุนยังปรากฏตัวอยู่บนหน้าฟีดโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมากเพราะความสวยงามที่น่าหลงใหลและการมองแมงกะพรุนเคลื่อนไหวช้าๆ ยังทำให้ความรู้สึกผ่อนคลายและคลายเครียด เหมือนกับการได้มองโลกอีกใบที่แตกต่างจากชีวิตจริง
ในช่วงยุคนี้เองที่สร้างผลงานทั้งหนังสือและภาพยนตร์ต่างๆ เกี่ยวกับแมงกะพรุนออกมามากมาย เช่น นวนิยายเยาวชน The Thing About Jellyfish เขียนโดย Ali Benjamin ที่สอดแทรกความจริงเกี่ยวกับแมงกะพรุน ,ภาพยนตร์แอนิเมชัน Finding Nemo โดย Pixar ที่เล่าถึงลูกปลาชื่อนีโมที่ถูกจับไปและพ่อของนีโมต้องตามหาลูกโดยมีฉากหนึ่งที่ต้องฝ่าอุปสรรคจากฝูงแมงกะพรุน หรือมังงะและอนิเมะเรื่อง Princess Jellyfish เขียนโดย Akiko Higashimura ที่เล่าถึงเรื่องราวเด็กผู้หญิงที่นำแรงบันดาลใจจากแมงกะพรุนมาออกแบบเสื้อผ้า
ปัจจุบันหลายคนรู้จักแมงกะพรุนมากขึ้นในหลากหลายมุมมองมากขึ้น แต่ผู้คนจากหลายภูมิภาคทั่วโลกก็ยังมีมุมมองต่อแมงกะพรุนแตกต่างกันออกไป เช่น ในประเทศโซนเอเชียมองว่าแมงกะพรุนคืออาหารและแหล่งรายได้ ในขณะที่ชาติตะวันตกอย่าง ยุโรป อเมริกา หรือออสเตรเลียยังมองว่าแมงกะพรุนคือสัตว์อันตรายที่สร้างความเดือดร้อน แต่อีกด้านยังมีผู้คนที่มองว่าแมงกะพรุนนั้นสวยงามและน่าศึกษาชีวิตของพวกมันต่อไป เพราะแมงกะพรุนยังมีปริศนาอยู่อีกมาก ซึ่งนั่นอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์
แม้สิ่งมีชีวิตโปร่งใสที่ล่องลอยไปเรื่อยๆ ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นี้ภายนอกอาจดูไม่มีพิษภัย แต่ความอันตรายของแมงกะพรุนคือเรื่องที่ประมาทไม่ได้ เพราะในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่าแมงกะพรุนอาจเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้นำแห่งท้องทะเลแทนปลาต่างๆ มากขึ้น และนั่นเป็นสัญญาณว่าท้องทะเลกำลังเต็มไปด้วยมลพิษ
อ้างอิง: WaghorAqua, natgeokids.com, ocean.si.edu, fao.org, oceanservice.noaa.gov, euronews.com, wikiart.org, vam.ac.uk, etc.usf.edu, irisvanherpen.com, vogue.com