menu
menu
อาหาร

เปิดสรรพคุณ “กระเจี๊ยบเขียว” ผักรสชาติอร่อย ทำได้หลายเมนู

Thairath Online
13/08/2025 12:00:00

กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่กำลังอยู่ในกระแสของคนรักสุขภาพ เนื่องจากมีสรรพคุณต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน อีกทั้งยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูอีกด้วย

กระเจี๊ยบเขียว (Okra หรือ Lady’s finger) แม้ว่าจะถูกนำมาปรุงอาหารในรูปแบบผัก แต่ความจริงแล้วกระเจี๊ยบเขียวจัดว่าเป็นพืชในตระกูลผลไม้ ซึ่งเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่อบอุ่น นิยมปลูกในแอฟริกาและเอเชียใต้ ข้อดีของกระเจี๊ยบเขียว ประกอบด้วย

1. มีสารต้านอนุมูลอิสระ

กระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ที่ทำให้เนื้อเยื่อและเซลล์ในร่างกายเกิดความเสียหาย และมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการแก่ก่อนวัยและโรคต่างๆ

สารต้านอนุมูลอิสระในกระเจี๊ยบเขียวคือโพลีฟีนอล รวมถึงฟลาโวนอยด์และไอโซเควอร์ซิติน ตลอดจนวิตามิน A และ C

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานอาหารที่มีโพลีฟีนอลสูงอาจช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจโดยลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดและความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน รวมทั้งยังอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพสมองเนื่องจากความสามารถพิเศษในการเข้าสู่สมองและป้องกันการอักเสบ

กลไกการป้องกันเหล่านี้อาจช่วยป้องกันสมองจากอาการเสื่อมของความชราและปรับปรุงความรู้ความเข้าใจ การเรียนรู้ และความจำ

2. อาจลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

ระดับคอเลสเตอรอลสูงเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ กระเจี๊ยบเขียวมีเมือกที่สามารถจับกับคอเลสเตอรอลในระหว่างการย่อยอาหาร แล้วถูกขับออกมาพร้อมกับอุจจาระแทนที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงมีปริมาณโพลีฟีนอลจำนวนมาก ซึ่งอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองในอนาคตได้

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


การศึกษาในปี 2024 ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 9,000 คน โดยติดตามผลนานกว่า 4 ปี พบว่าผู้เข้าร่วมที่รับประทานอาหารที่มีโพลีฟีนอลสูงมีการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจลดลง

3. อาจมีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง

กระเจี๊ยบเขียวมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเลกติน ซึ่งอาจยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในมนุษย์ การศึกษาในหลอดทดลองเก่าๆ ในเซลล์มะเร็งเต้านมพบว่าเลกตินในกระเจี๊ยบเขียวอาจป้องกันการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ถึง 63%

รวมทั้งยังพบการศึกษาในหลอดทดลองอีกชิ้นในเซลล์มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาของหนูที่แพร่กระจาย พบว่าสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวทำให้เซลล์มะเร็งตาย อย่างไรก็ตาม การศึกษาเหล่านี้ดำเนินการในหลอดทดลองเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมในมนุษย์ก่อนที่จะสรุปผลใดๆ ได้

4. อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสุขภาพ เพราะระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจนำไปสู่ภาวะก่อนเบาหวานและเบาหวานชนิดที่ 2 งานวิจัยชี้ให้เห็นว่ากระเจี๊ยบเขียวอาจมีผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ที่เป็นภาวะก่อนเบาหวานและเบาหวานชนิดที่ 2

5. มีประโยชน์สำหรับหญิงตั้งครรภ์

โฟเลต (วิตามิน B9) เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะที่ส่งผลต่อสมองและกระดูกสันหลังของทารกในครรภ์ที่กำลังพัฒนา ซึ่งผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ควรบริโภคโฟเลต 400 ไมโครกรัมทุกวัน กระเจี๊ยบเขียว 1 ถ้วย (100 กรัม) ให้ปริมาณโฟเลต 15% ของปริมาณที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้หญิง

6. นำมาปรุงอาหารได้ง่าย

กระเจี๊ยบเขียว สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู โดยเลือกฝักสีเขียวลักษณะเรียบและอ่อนนุ่ม ไม่มีจุดสีน้ำตาลหรือปลายแห้ง สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง 4 วันก่อนนำมาทำอาหาร หากต้องการเลี่ยงเมือกของกระเจี๊ยบเขียว มีเทคนิคการปรุงอาหารดังนี้

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


กระเจี๊ยบเขียวต้มหั่นชิ้นหนึ่งถ้วย (100 กรัม) ประกอบด้วย

ในกระเจี๊ยบเขียว 100 กรัม มีวิตามินและแร่ธาตุของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ดังนี้

ข้อเสียของกระเจี๊ยบเขียว

แม้ว่ากระเจี๊ยบเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายสูง แต่การรับประทานมากไปก็ก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน เนื่องจาก

1. กระเจี๊ยบเขียวมีสารออกซาเลท (Oxalate) ส่งผลให้ดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง และอาจทำให้เป็นนิ่วในไตได้

2. ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรรับประทานกระเจี๊ยบเขียวมากเกินไป เพราะอาจรบกวนการทำงานของยาเมตฟอร์มินซึ่งเป็นยาสำหรับเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

3. การรับประทานไฟเบอร์หรือใยอาหารมากเกินไปอาจขัดขวางการดูดซึมของวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด

4. กระเจี๊ยบเขียวจากบางแหล่งมีสารเคมีเป็นพิษตกค้างมาก ควรล้างให้สะอาดก่อนนำมาบริโภค

เมนูกระเจี๊ยบเขียว

หลายคนอาจยังนึกไม่ออกว่ากระเจี๊ยบเขียวสามารถนำมาทำเมนูอะไรได้บ้าง เรามีแนะนำดังนี้

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


ที่มา: Healthline, Webmd

โดย Thairath