
เสียงครางของแมวที่เรียกว่า “Purr” เป็นหนึ่งในปริศนาที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามไขให้ได้มาตลอดว่า มันมีที่มาอย่างไร และมีไว้เพื่ออะไร ทำไมจึงมีแค่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแมวเท่านั้นที่สามารถสามารถสร้างเสียงแบบนี้ได้ ขณะที่สัตว์อื่นในตระกูลแมว เช่น สิงโต เสือ ไม่สามารถครางได้ แต่จะคำรามแทน
เสียงครางของแมวเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อกล่องเสียงและกระบังลมถูกกระตุ้นเพื่อให้สั่นสะเทือน เสียงครางของแมวจะมีความถี่ระหว่าง 25 ถึง 150 เฮิรตซ์ และจะคงรูปแบบที่สม่ำเสมอในขณะหายใจเข้าและหายใจออก

การครางของแมวยังเกิดขึ้นได้ทั้งเวลามีความสุข เวลาหิว และเวลาที่เครียด
ก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยว่า เสียงครางเวลาหิวของแมว จะมีความถี่ใกล้เคียงกับเสียงร้องไห้ของทารกมนุษย์ ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ฟังไม่ว่าจะเคยเลี้ยงแมวหรือไม่ก็ตามเกิดความรู้สึกเร่งด่วน และต้องไปหาอาหารมาให้
เสียงคราง Purr ยังเป็นรูปแบบการสื่อสารที่สำคัญระหว่างแมวกับลูกแมวแรกเกิด ซึ่งการมองเห็นและการได้ยินจะเริ่มพัฒนาเมื่ออายุประมาณ 10 วัน เสียงครางของแม่แมวเป็นวิธียืนยันความปลอดภัย ส่งสัญญาณถึงเวลาให้อาหาร และมีประโยชน์ต่อวิวัฒนาการในการเป็นรูปแบบการสื่อสาร
นอกจากนี้ เลสลี ไลออนส์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เคยเปิดเผยว่า นอกเหนือจากการสื่อสารแล้ว เสียงครางของแมวยังอาจมีพลังลึกลับอีกด้วย โดยนักวิจัยพบว่า เสียงความถี่ต่ำที่ 25–50 เฮิร์ตซสามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อและส่งเสริมการรักษากระดูกของแมวได้
การศึกษาทั้งหมดข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่า การครางมีประโยชน์ต่อการสื่อสารและการอยู่รอดของแมว แต่ไม่มีใครเคยรู้เลยว่า เสียงครางที่เป็นเอกลักษณ์นี้มีที่มาอย่างไร?
เพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้ ทีมนักวิจัยจากศูนย์วิจัยสัตว์ป่าแห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้ศึกษาภูมิหลังทางพันธุกรรมของลักษณะพฤติกรรมของแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขามุ่งหวังที่จะทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการครางและการเปลี่ยนแปลงของยีนตัวรับแอนโดรเจน (androgen receptor gene)
ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยเกียวโตได้ทำการประเมินพฤติกรรมของแมวกลุ่มตัวอย่าง 280 ตัว ซึ่งทั้งหมดเป็นแมวพันธุ์ผสมที่ทำหมันแล้วและเลี้ยงไว้ในบ้านของเจ้าของ นอกจากนี้ พวกเขายังได้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอและวิเคราะห์ยีนตัวรับแอนโดรเจน โดยเปรียบเทียบกับยีนของแมวสายพันธุ์อื่น ๆ ที่อยู่ในวงศ์ Felidae
ทั้งนี้ Felidae จะหมายถึงสัตว์ที่อยู่ในตระกูลแมวทั้งหมด ทั้งสิงโต เสือ ฯลฯ โดยแมว (Felis Catus) เป็นหนึ่งในสัตว์ที่อยู่ในวงศ์นี้
นักวิทย์พบว่า แมวที่มียีนตัวรับแอนโดรเจนชนิดสั้นมีพฤติกรรมการครางสูงกว่าแมวที่มียีนชนิดยาว นอกจากนี้ แมวตัวผู้ที่มียีนชนิดสั้นยังเปล่งเสียงร้องต่อมนุษย์มากกว่า ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงของยีนกับการสื่อสารด้วยเสียง ในทางตรงกันข้าม แมวตัวเมียที่มียีนชนิดสั้นจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อคนแปลกหน้ามากกว่า
การค้นพบนี้สนับสนุนความคิดที่ว่า เสียงครางและการสื่อสารด้วยเสียงมีพื้นฐานทางพันธุกรรม
ผลลัพธ์เหล่านี้อาจเผยให้เห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารด้วยเสียงที่ลดลงสำหรับแมวที่เลี้ยงโดยมนุษย์ตั้งแต่ยังเป็นลูกแมว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นแมวพันธุ์แท้ จากการศึกษาครั้งก่อนระบุว่าแมวพันธุ์แท้มีแนวโน้มที่จะมียีนประเภทยาวมากกว่าแมวพันธุ์ผสม แมวพันธุ์ผสมหลายตัวในการศึกษานี้เป็นแมวจรจัดที่เคยได้รับการช่วยเหลือมา ซึ่งอาจหมายความว่าแมวจรจัดเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะร้องเหมียวมากกว่า
เมื่อเปรียบเทียบยีนของแมวกับสิ่งมีชีวิตในวง Felidae อีก 11 สายพันธุ์ ทีมวิจัยพบว่า เสือดาวและแมวตกปลาซึ่งมีความใกล้ชิดกับแมวบ้าน มียีนประเภทสั้นเท่านั้น ในขณะที่แมวบ้านมียีนประเภทยาวซึ่งไม่พบในสายพันธุ์อื่น ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการเกิดขึ้นของยีนประเภทยาวอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงและการผสมพันธุ์แบบคัดเลือก
โอกาโมโตะ ยูเมะ นักศึกษาปริญญาเอก หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า “เราหวังว่าการวิจัยของเราจะช่วยให้เราเข้าใจแมวมากขึ้น และช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่มีความสุขระหว่างแมวกับมนุษย์มากขึ้น”
อ่านงานวิจัยฉบับเต็ม ที่นี่
เรียบเรียงจาก Kyoto University